ราชทัณฑ์ เผยผลตรวจ รุ้ง-ปนัสยา ยันไม่พบเชื้อในเรือนจำ

ราชทัณฑ์ เผยผลตรวจ รุ้ง-ปนัสยา ยันไม่พบเชื้อในเรือนจำ

กรม ราชทัณฑ์  ออกจดหมายโต้ตอบ รุ้ง-ปนัสยา อีกครั้ง เผยไม่พบเชื้อไวรัสทั้งสองครั้ง ยืนยันไม่มีนโยบายปกปิดข้อมูล เพจเฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์ของกรมราชทัณฑ์ได้ออกมาร่อนเอกสาร จากกรณีที่ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำกลุ่มราษฎรที่ป่วยเป็นโรคโควิดหลังออกจากเรือนจำเมื่อช่วงวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ทางกรมราชทัณฑ์ชี้แจงว่า มีการแพร่ระบาดของ โรคโควิด- 19 จริงในหลายเรือนจำ 

แต่กรมราชทัณฑ์ยังคงดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งในกรณีของนางสาวปนัสยาฯ กรมราชทัณฑ์ ขอเรียนชี้แจง ดังนี้ กรมราชทัณฑ์ ได้รับตัวนางสาวปนัสยาฯ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 โดยควบคุมภายในห้องกักโรค ของแดนแรกรับ และได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วยการ SWAB ครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 ผลไม่พบการติดเชื้อ และทำการตรวจหาเชื้อครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 ผลไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน

จนกระทั่งวันที่ 26 เมษายน 2564 ได้อนุญาตให้นางสาวปนัสยาฯ ลงจากห้องกักโรค (บนอาคารเรือนนอน) ลงมาอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังอื่นภายในแดนแรกรับ จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564

ทั้งนี้ ทัณฑสถานหญิงกลาง แบ่งการควบคุมเป็น 2 แดน คือ แดนแรกรับ ซึ่งเป็นแดนที่นางสาวปนัสยาฯ ถูกควบคุมตัวอยู่มีผู้ต้องขังประมาณ 1,500 คน ได้ทำการตรวจคัดกรองผู้ต้องขัง 100% เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 ภายหลังจากนางสาวปนัสยาฯ ปล่อยตัวไป ไม่พบผู้ต้องขังแดนนี้ติดเชื้อ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงผู้ต้องขังที่นอนห้องเดียวกันและใช้ชีวิตใกล้ชิดกับนางสาวปนัสยาฯ ตั้งแต่พ้นจากห้องกักโรค จำนวน 4 คน ก็ไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน

สำหรับอีกแดนหนึ่ง คือ แดนผู้ต้องขังเด็ดขาดที่เกิดการระบาดของโรค ซึ่งมีผู้ต้องขังประมาณ 2,900 คน ทำการตรวจคัดกรองผู้ต้องขัง 100% พบผู้ต้องขังติดเชื้ออยู่ในแดนนี้ จำนวน 1,039 คน ตามที่ปรากฎเป็นข่าว และได้ย้ายผู้ต้องขังที่ติดเชื้อไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น จึงขอสร้างความเข้าใจต่อสังคมว่า กรมราชทัณฑ์ ไม่ได้มีนโยบายหรือสั่งการให้ปิดบังข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 ในเรือนจำและทัณฑสถานแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้มีหนังสือกำชับให้เรือนจำและทัณฑสถานปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

ก่อนหน้านี้ รุ้ง ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กระบุว่า “บิดาและมารดาติดเชื้อโควิด – 19 จากตนที่ได้รับเชื้อมาจากในเรือนจำ โดยระบุว่าผู้ต้องขังและนักโทษไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโควิด – 19 มากน้อยเพียงใดในเรือนจำ”

‘ประวิตร’ เอาจริง สั่ง ดีอีเอส ปราบ เฟกนิวส์

ประวิตร สั่ง ดีอีเอส ปราบ เฟกนิวส์ ป้องกันการสร้างความสับสนและความตื่นตระหนกให้กับประชาชน เผยพบข่าวปลอมเกี่ยวกับช่วงโควิดระบาดกว่าร้อยละ 66  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินงาน ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด ตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามการทำงานกำลังใจเจ้าหน้าที่

พล.อ.ประวิตร กล่าวมอบนโยบายให้ดีอีเอส สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน สื่อสังคมออนไลน์ได้มีบทบาท ต่อการสร้างกระแสข่าวปลอม ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความสับสน ความตระหนกในสังคม ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลในช่วงวิกฤตโควิด-19 อยู่ในขณะนี้

ซึ่งรัฐบาลกำลังพยายามแก้ปัญหา เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ควบคู่กับการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างเต็มความสามารถ จึงขอให้หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องบูรณาการทำงานในการเฝ้าระวังข่าวปลอมตลอดเวลาและดำเนินการตรวจสอบข่าวสารอันเป็นเท็จ และดำเนินคดีตามกมฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชนชนและแจ้งเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม

ขณะเดียวกัน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รายงานถึงภาพรวมของข่าวปลอมในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พบเรื่องสุขภาพมากถึง 66 เปอร์เซ็นต์ โดยดีอีเอส และหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามนโยบายที่ได้รับมอบหมาย

การใช้ทรัพยากรทั้งในดินและในทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาค 3.การส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสู่เป้าหมาย Digital ASEAN 4.การพัฒนาเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน ให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีสวัสดิภาพและมีคุณภาพชีวิต 5.การเงินสีเขียว สนับสนุนการลุงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“ความมุ่งมั่นของไทยในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนและส่งเสริมการรวมตัวของภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อให้อาเซียนเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของโลก” นายกฯ กล่าว

แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร